ฉากคัท ตอนที่2 (ท่านหมอมาเฟียฯ)
เรื่อง ท่านหมอมาเฟียคนนี้ คือฮูหยินของข้า
“เจ้าเป็นใคร”
กลิ่นอายที่รู้สึกได้จากชายคนคนนี้น่าหวาดกลัวมากเกินไป ราวกับเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจที่พร้อมจะฉีกร่างเซียวซิงอย่างไรอย่างนั้น
“อึก” มือบางพยายามจิกทึ่งดึงมือหนาออก
แต่ก็ยากจะเป็นผล ซ้ำอีกคนยังเพิ่มบีบแรงราวกับจะบดกระดูกให้อีกคนตายคามือ
“ตอบข้า...
เจ้าเป็นใครในตระกูลเจิน”
“มะ-ไม่ใช่ อึก ไม่ใช่ใครทั้งนั้น
...เฮือก!” เมื่อมือหนาคลายแรงลง เซียวซิงก็ดึงอากาศเข้าปอดทันที พร้อมกับอ้าปากไอจนตัวโก่ง
มือคลำคออย่างรู้สึกเจ็บร้าว “อึก แค่ก แค่ก”
จากที่อ่อนแรงล้าอยู่แล้วตอนนี้แทบไม่เหลือพลังชีวิตพอให้วิ่งหนี
แต่ก่อนที่จะล้มทรุดไปกับพื้น ชายน่ากลัวคนนี้ก็คว้าเอวเอาไว้
แล้วเอ่ยถามย้ำอีกครั้งให้มั่นใจ
“เจ้าไม่ใช่คนตระกูลเจิน?”
“อึก ...ใช่!”
สิ้นคำตอบก็ถูกผลักจนแผ่นหลังชนเข้ากับผนังจนต้องเบ้หน้า
ก่อนเซียวซิงจะรู้สึกได้ถึงการคุกคาม
“ช่วยข้า แล้วข้าจะมอบสิ่งที่เจ้าปรารถนา”
“อึก” ยังไม่ทันที่เซียวซิงจะเข้าใจความหมายในคำพูด
และยังไม่ทันรู้ว่าควรตอบอะไร ชายคนนั้นก็พุ่งใบหน้าเข้ามาประกบริมฝีปาก
แม้คนในอ้อมแขนจะพยายามขัดขืน แต่แรงดิ้นรนก็ไม่ถึงกับต้องใช้กำลังกดข่มให้อีกคนบอบช้ำ
แต่ถึงกระนั้นในช่วงเวลาเช่นนี้ที่พิษกำหนัดกำเริมก็ยากจะทำเป็นอ่อนโยน
ชายหนุ่มขบเม้นริมฝีปากนุ่มจนหลุดเสียง
“อ๊ะ” และเพราะมันเขี้ยวในความนุ่มหยุนก็เผลอลงฟันกัดจนได้กลิ่นคาวเลือด
แต่แทนที่จะปลอบขอโทษคนในอ้อมแขน กลับใช้จังหวะนี้สอดลิ้นเข้าสำรวจภายในโพรงปาก
เรียวลิ้นร้ายสอดสำรวจและกวาดต้อนความหอมหวานที่ไม่ต่างจากสิ่งเสพติด
ที่เมื่อได้ชกชิมยิ่งติดใจและกระหายอยากมากขึ้น
มือหนึ่งข้างสอดรองท้ายทอย
ส่วนอีกข้างสอดกอดเอวบาง พรึบ ก่อนจะรวบแรงกอดแล้วยกร่างขึ้นจนเท้าลอย เดินกลับไปที่เตียงในขณะริมฝีปากยังประกบจูบไม่ยอมผละออก
“เฮือก!” เมื่อปากเป็นอิสระ เซียวซิงก็หอบอากาศลงปอดจนอกบางกระพือขึ้นสูง ส่วนคนตัวสูงย้ายใบหน้าลงมาจูบซับลำคอระหง
ซุกไซ้พลางสูดกลิ่นหอม ...แม้จะรู้ว่าส่วนหนึ่งเพราะกลิ่นดอกหมู่ตานทำให้ตนควบคุมตัวเองไม่ได้
แต่จะให้ทำเช่นไรได้ เมื่อการหักห้ามใจนั้นยากยิ่งกว่า
ริมฝีปากไล่ขบเม้นดูดดึงเนื้ออ่อนจนเซียวซิงรู้สึกเจ็บไปหมด
“...หยุด” เสียงที่แหบแห้งบอกอีกคน แต่นั่นกลับไม่เป็นผลราวกับเสียงของตนไร้ความหมาย
และทันทีที่มือเป็นอิสระได้ก็พยายามผลักไหล่อีกคนออก “...ปล่อย”
ชุดฝ้ายธรรมดาถูกกระชากคอเสื้อแรงเผยให้เห็นไหล่เล็กขาวเนียนสะท้อนในความมืดสลัว
ก่อนจะไล้ริมฝีปากกระจับบางลงมาบนเนินอก ขบเม้นลงฟันอย่างมันเขี้ยว แล้วตวัดลิ้นเลียจนค้นพบว่าอีกคนมีผิวกายที่เนียนละเอียดราวกับชนชั้นสูง
หากไม่ใช่คนที่ดูแลอย่างดีก็เกิดมาพร้อมความพิเศษที่แตกต่าง
ส่วนกลิ่นหอมอ่อนๆที่ออกมาจากกาย
แน่ชัดว่าไม่ใช่น้ำอบหรือน้ำหอมที่เหล่าชนชนชั้นสูงนิยมใช้
ด้วยความนุ่มละมุนไม่แสบจมูกนี้ต้องเป็นความพิเศษเฉพาะของคนที่ได้รับพรของสวรรค์
ให้มีกลิ่นกายหอมหวนดั่งบุปผา
นอกจากคนผู้นั้นจะพิเศษเหนือสตรีหรือเกอคนใดแล้ว
ยังบ่งบอกว่าเป็นผู้มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งอีกด้วย
หากมีพลังปราณก็จะกลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธ แต่ถ้าไม่ก็จะสามารถให้กำเนิดบุตรที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถและพรสวรรค์
มือหนาลูบไล้เรือนกายผ่านผ้า
พลางสำรวจและประเมินสัดส่วนรูปลักษณ์คนใต้ร่าง
เรือนกายค่อนข้างผอมบาง
เนื้อหนังเกือบแห้งติดกระดูก สวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อสากระดับต่ำที่ถูกซักจนเปราะบางเต็มที
แคว๊ก... และเพียงออกแรงกระชากเบาๆมันก็ขาดหวิ่น
...บ่าว?
...แต่หากเป็นบ่าว
เหตุใดหลายอย่างที่ประเมินได้ถึงแต่ต่างจากบ่าวทั่วไป?
และที่ยืนยันกับปากว่าไม่ใช่คนตระกูลเจิน
ตนสามารถเชื่อได้แค่ไหน “หึ” มือประคองหน้าไล้ลูบลงมาที่เรียวกรามเล็ก
แล้วคว้าเข้าที่คอแต่ไม่ได้ออกแรงบีบ
หากเจ้ามารยาทำเสแสร้งโกหกตน
แน่นอนว่าอีกฝ่ายจะมีสิทธิ์ร้องขอได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
มุมปากยกยิ้มกับความคิดในหัว
แล้วกระตุกปมเชือกคาดเอวออก ตามด้วยปมต่างๆที่มือคลำได้
จนเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมอยู่ค่อยๆหลุดลุ่ยออกจากกาย เผยให้เห็นผิวขาวนวลสม่ำเสมอ
“ยะ-หยุดมันซะ”
จากที่ร่างกายอ่อนแอไม่เป็นดั่งใจอยู่แล้ว
มาตอนนี้แม้แต่ความคิดยังควบคุมไม่ได้ “อ๊ะ” และทันทีที่อีกฝ่ายตวัดลิ้นผ่านยอดอก
สติที่พยายามตั้งมั่นก็พังทลายลง เปลี่ยนสองมือที่ดันไหล่คว้าจับไว้ราวกับต้องการหลักยึด
“...ไม่ ทำแบบนี้ไม่ได้”
คว้าสองมือเล็กออกจากไหล่กดไว้ข้างลำตัว
แล้วอ้าปากงับยอดอกไปเต็มคำ ดูดดึงราวกับลูกพยัคฆ์ผู้หิวโหย ความรู้สึกเสียวซ่านปะทุออกมาเรื่อยๆจนร่างสั่นระริก
หน้าท้องเกร็งขบกรามแน่น ทำเซียวซิงสิ้นความคิดในฉับพลัน
“ฮึ่ม”
เสียงทุ้มครางต่ำในลำคอบ่งบอกถึงความพึงพอใจที่ชายหนุ่มได้รับ
...และเมื่อเต้าเล็กเริ่มเหลวคาปากก็ผละปากย้ายไปอีกข้างอย่างเอาแต่ใจ ก่อนจะปล่อยมือที่จับกดไว้พลางคลำสำรวจ
ไล้ปลายนิ้วไปกับผิวนุ่มที่แสนลื่นมือ
จุ๊บ!
“อ๊ะ” ผละริมฝีปากออกจนเกิดเสียงน่าอาย แล้วเลื่อนกายขึ้นไปประกบริมฝีปาก
สอดลิ้นหนาเข้าไปเกี่ยวเย้าลิ้นเล็กและครั้งนี้คนใต้ร่างเริ่มมีปฏิกิริยาตอบโต้
แม้จะเงอะงะไม่ประสาแต่ก็ถูกใจอีกคนเป็นอย่างมาก
ก่อนจูบละเมียดจะแปรเปลี่ยนเป็นดุดัน ร่างสูงขยับเบียดแทรกเข้าหว่างขา
มือหนึ่งข้างผละจากประคองแก้มไล้ลูบลงมาบนอก “อ๊ะ” สะกิดยอดอกเมื่อปัดผ่าน แล้วลูบสลับเค้นลงมาบนเอวบาง
หน้าท้องที่แบนราบ และต้นขาอ่อนจนขึ้นรอยนิ้วเต็มกาย
ฝ่ามือทำหน้าที่ลูบไล้
ส่วนปลายนิ้วออกลายคลำสำรวจ จนกระทั่งพามันมาบรรจบที่จุดอ่อนไหว
แตะปลายนิ้วลูบวนเบาๆก็ทำใจดวงน้อยกระตุกวูบ
ก่อนจะกดปลายนิ้วเข้าไปจนกายบางกระตุกสั่น ฉุดเรียวคิ้วสวยให้ขมวดมุ่น
“อือ~” แล้วเริ่มขยับเข้าออกสร้างความคุ้นชิน ก่อนจะเพิ่มจำนวนนิ้วจนคิ้วคนใต้ร่างขมวดเป็นปม
ใบหน้ายับเผยความอึดอัดเจือปนความเจ็บออกมา
แต่เมื่อปรับตัวได้เสียงหวานก็หลุดเป็นสัญญาณ
มือหนึ่งข้างที่ยังว่างผละออกจากท้ายทอยมาปลดเสื้อผ้าออกจากกาย
กระตุกปมชุดผ้าไหมชั้นดีไปจนถึงปมกางเกงชั้นใน แล้วรั้งออกจากเอวสอบ
มือคว้าแท่งหยกขยับชัดนำ2-3ครั้งแล้วจ่อเข้าจุดอ่อนไหว
“อึก?!” ซึ่งทันทีที่ดึงมือออกก็ดันแท่งหยกเข้าใส่ แต่การเบิกทางสร้างความคุ้นเคยก่อนหน้าแทบไม่ช่วยอะไร
เมื่อสิ่งที่มาแทนที่นั้นใหญ่กว่า และเพียงส่วนหัวที่กดเข้ามา ร่างบางก็พลันเกร็งตัวแข็ง
มือที่จับไหล่จิกทึ่งลงเนื้อระบายความเจ็บ “...อื้อ? ...เจ็บ”
“ชู่วส์ ...อดทนแค่นิดเดี๋ยว”
ไม่คิดว่าตัวเองจะใจเย็นได้ขนาดนี้
และไม่คิดว่าตัวเองจะเอ่ยปลอบคนอื่นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้ด้วย
...นับว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดาแล้ว ที่ทำให้หยางจินหลงเผยตัวตนที่ไม่เคยมี
แค่ส่วนหัวที่เข้าไปได้
ด้านในก็กระตุกตอดรัดจนขบกรามแน่น สองมือหนาเปลี่ยนมาจับบังคับเอวบาง กดและยึดไว้ไม่ให้อีกฝ่ายดิ้นหนี
แล้วโน้มลงไปพรมจูบตามกรอบหน้าปลอบประโลมให้ใจเย็น ก่อนป้อนจูบนุ่มละมุนดึงความสนใจ
เมื่อคนใต้ร่างคลายความตึงเครียดลง
“อื้อ?!” ก็ดันแท่งหยกที่แข็งขืนเข้าไปจนมิดด้าม
ความเจ็บวิ่งพล่านไปทั่งร่างกระจายไปทุกส่วนของร่างกาย
ก่อนความชาจะสิ้นเรี่ยวแรงจนตัวแข็งค้าง
มาวันนี้เซียวซิงพึ่งรู้ว่าครั้งแรกเจ็บแบบไหน
และทรมานเช่นไร... แต่ยังไม่ทันเตรียมใจคนคร่อมร่างก็เริ่มขยับกาย
แท่งหยกถูกดึงถอยจนเกือบหลุดแล้วดันเข้าใส่จนอีกคนต้องเบ้หน้า
จังหวะเนิบนาบเป็นเช่นนั้นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะรู้สึกถึงภายในที่ปรับตัวได้จึงเพิ่มความเร็วขึ้น
กดย้ำลึกจนรู้สึกจุกและถอยออกสุดจนเกือบหลุดได้ปลุกความเสียวซ่านในกายให้ตื่นขึ้น
เสียงหวานหลุดครวญครางไปตามอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้
ส่วนร่างสูงครางต่ำในลำคอ ด้านในกระตุกตอดรัดทุกการขยับสวนกาย ความคับแน่นทำให้หยางจินหลงต้องขบกรามจนขั้นสัน
ยิ่งมีเสียงหวานกล่อมลอยเข้าหู
ก็เหมือนแรงกระตุ้นให้เอวสอบเร่งความเร็วเพิ่มความถี่ขึ้นเรื่อยๆ
“บะ-เบา” กายบางสั่นคลอนไปตามแรงกระแทกกระทั้น
แม้พยายามดันหน้าท้องแกร่งเอาไว้ก็สามารถยั้งแรงสวนกายที่อีกฝ่ายกระทำได้
ทำได้เพียงกรีดร้องครวญครางอย่างน่าสมเพช “...เบา อ๊ะ อ่าส์!”
เมื่อส่วนปลายต้องจุดอ่อนไหว
กายบางก็พลันกระตุกแรงหลุดเสียงลั่น
ทำมุมปากคนคร่องกายกระตุกยิ้มกริ่มออกมาแล้วพุ่งเป้าไปยังจุดนั้น
กลั่นแกล้งจนอีกคนทุรนทุรายพร่ำอ้อนวอนอยู่ใต้ร่าง “...อึก ไม่ มะ-ไม่ไหว”
หยางจินหลงโน้มลงประกบริมฝีปากป้อนจูบ
ก่อนผละออกขบเม้นกลีบปากนุ่มเล็กน้อยแล้วซุกเข้ากับซอกคอระหง
สูดกลิ่นดอกหมู่ตานเข้าร่างด้วยใจลุ่มหลงจนแทบถอนตัวไม่ขึ้น “...อ๊ะ อ๊ะ”
แต่ขณะเดียวกันก็เร่งสวนกายกระแทกเอวสอบเข้าตอกย้ำจุดอ่อนไหว
ความรู้สึกแทบคลั่ง
ร่างกำลังจะระเบิด ทำให้เซียวซิงคว้ากอดอีกคนแน่น ลงเล็บจิกเนื้อมือสั่นเกร็งจนขึ้นข้อขาว
ปลายเท้างอเขย่ง “อึก อ่าส์!”
จนกระทั่งทนไม่ไหวปลอดปล่อยออกมา
หยางจินหลงเมื่อเห็นอีกคนนำหน้าก็เร่งสวนกายเพิ่งความเร็ว
พาตัวเองไปยังปลายทางที่รู้สึกอยู่ไม่ไกล “อ่าส์~”
แล้วปลดปล่อยเข้าใส่ภายในอย่างไม่รู้ตัว “...บ้าจริง!”
สถบออกมาอย่างหัวเสียเมื่อตั้งใจจะถอดออก
แต่สุดท้ายหลงลืมไปเสียสนิท! “...เอาเถอะ”
ก้มลงไปจูบซับหน้าผากมนไม่ใส่ใจเรื่องที่คิดเผื่อเอาไว้
ขยับกายถอยเอวสอบออก
ดวงตาคมมองส่วนเชื่อมระหว่างเราด้วยแววตาหยาบโลนอย่างไม่รู้ตัว
เพียงส่วนหัวใกล้หลุดออก ธารน้ำขาวขุ่นก็ไหลหลุดออกมาด้วย
“อ๊ะ”
แต่ทั้งที่พิษกำหนัดในกายเจือจางไปหมดแล้ว
แต่ทำไมหยางจินหลงถึงไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายไป กลับดันแท่งหยกกลับเข้าใส่อีกครั้ง แล้วเริ่มขยับกายช้าๆพร้อมกับรั้งคนตัวบางขึ้นมานั่งคร่อมเอวสอบ
“...มัน อึก ลึก”
แรงกดจากน้ำหนักตัวทั้งหมดทำให้เซียวซิงรู้สึกจุกจนงอตัว
สองมือคว้าจับไหล่หนาแน่น ร่างสั่นระริกเมื่อส่วนหัวต้องจุดอ่อนไหว
มือหนาประคองสะโพกมนเอาไว้
จับบังคับให้ขยับตามการควบคุม “...อือ” เมื่ออีกคนเริ่มจับจุดได้จินหลงก็ครางต่ำในลำคออย่างพึงพอใจ
แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายเรียนรู้การควบม้าด้วยตัวเอง
เส้นผมยาวสะบัดไหว
กายบางขย่มโยกไปตามจังหวะ ส่วนปากอ้าพะงาบทั้งหอบหายใจและส่งเสียงหวานครางกระเส่า
กึก
เสียงบางอย่างเคลื่อนไหวดังขึ้น ทำให้หยางจินหลงละความสนใจตรงหน้าหันไปมอง ก็พลันสบเห็นเงาคนตะคุ่มอยู่หน้าประตูเรือน
“...คุณหนู เข้าไปไม่ได้เจ้าค่ะ” เสียงพูดหลุดเข้ามาทำมุมปากบางยกยิ้มหยัน
“...แต่องค์ชาย” ส่วนอีกคนน้ำเสียงร้อนรนระคนไม่พอใจสุดขีด
เมื่อแผนที่วางไว้พังลงไปไม่เป็นท่า ทั้งยังถูกคนอื่นตัดหน้าชิงไป
แขนแข็งแรงสอดกอดเอวบาง
ส่วนอีกข้างจับไหล่ยึด แล้วสวนกายกระทั้นขึ้นใส่ “...อ๊ะ อะ! อ๊ะ!” จนคนบนตักกรีดร้องลั่นครางเสียงหลง
จนเจินลี่จือที่ยืนอยู่หน้าประตูเบิกตาถลึงใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ
“คนที่อยู่ตรงนั้นควรเป็นข้า!” นางอยากกรีดร้องโวยวายและบุกเข้าไปทำลายห้วงอารมณ์สุขสมให้หายแค้นเคืองใจ
แต่ทำไมถึงทำได้แค่ข่มใจและต้องถอยกลับ
“ไปกันเถิดเจ้าค่ะ
เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า” ส่วนสาวใช้ก็ยื้อดึงแขนคุณหนูพาออกจากเขตเรือนรับรอง
ปลายฤดูใบไม้ร่วงเดือนสือเยว่นับเป็นช่วงที่อากาศยามค่ำคืนเย็นตัวลง
ลมหนาวพัดผ่านกรอบหน้าต่างเข้ามา
แต่กลับไม่อาจทำให้สองคนที่เหงื่อชื้นตามกรอบหน้ารู้สึกได้ถึงความเย็น
เปลวไฟแห่งความใคร่โหมกระหน่ำทำลายความมั่นคงหนักแน่นในใจแกร่งนับครั้งไม่ถ้วน
ตั้งแต่ดึงคนอื่นเข้ามาเป็นหมาก
“อ่าส์!” อีกครั้งที่แท่งหยกสำเร็จความใคร่ปลดปล่อยเข้าใส่ภายในจนเอ่อล้นออกมา
และทุกครั้งที่ผ่านมาการถอยกายออก ผละจากสัมผัสอุ่นนี้กลายเป็นเรื่องทำใจยากขึ้นมาทันที
แต่จะให้ทำต่ออย่างไม่รู้จักหักห้ามใจอีก
ร่างบางอาจสิ้นใจคาอกตนก็เป็นได้
ถอยเอวสอบออกอย่างอาลัย แล้วทิ้งกายลงนอนข้าง ปิดเปลือกตาพักแค่ไม่กี่อึดใจก่อนเสียงกุกกักด้านนอกจะดังขึ้น จึงลุกออกจากเตียงควานหาเสื้อผ้าที่หล่นเกลื่อนกลับมาสวมเข้ากาย
หันกลับไปมองคนหลับแล้วกระชับผ้าห่มขึ้นคลุมอกให้
มือหนาประคองแก้มขาวพลางเกลี่ยลูบเบาๆ ก่อนจะสอดมือรองท้ายทอย
พร้อมโน้มหน้าลงไปป้อนจูบและขบเบาๆบนริมฝีปาก
.
..
*กลับไปต่อเนื้อหาหลัก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น